– ไข่ไก่ที่ใช้ไม่สด หรือไข่ไก่เพิ่งออกจากตู้เย็นแล้วเย็นเกินไป

– ส่วนผสมของเหลวมีอุณภูมิที่เย็นเกินไป

ระหว่างการทำ

– คนส่วนผสมไม่เข้าดี เนื้อแป้งไม่เนียน

– ตอนอบใช้อุณหภูมิที่สูงเกินไป

– ก่อนทำขนมควรเอาไข่ไก่และส่วนผสมเหลวออกมาพักไว้ในอุณภูมิห้องให้คลายเย็น

ระหว่างการทำ

– ควรคนส่วนผสมให้เข้ากันดี แต่ไม่ต้องคนนานเกินไป

– ต้องใช้อุณภูมิที่เหมาะสมในการอบ ควรใช้ไฟอบอยู่ที่ 160-180 องศาเซลเซียส

– ไข่ไก่มีอุณภูมิเย็นเกินไป

ระหว่างการทำ

– ตีส่วนผสมอาจจะตีเนยกับน้ำตาลขึ้นฟูเบาเกิน หรือในช่วงที่ผสมกับแป้ง อาจจะตีนานเกินไป ทำให้แป้งเหนียว จึงทำให้ออกมาเนื้อแข็ง และแน่น

– อุณภูมิที่ใช้อบอาจจะสูงเกิน

– ไข่ไก่ที่ใช้ต้องอยู่ในอุณภูมิห้อง

ระหว่างการทำ

– ส่วนผสมตีเนยกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู และตอนคนส่วนผสมควรคนแค่พอเข้ากันดี

– อุณภูมิที่ใช้อบต้องไม่สูงเกิน 200 องศาเซลเซียส

– เกิดจากการที่ตีไข่ขาวแล้วตั้งยอดอ่อนหรือไม่ตั้งยอด ทำให้มีฟองอากาศน้อย แล้วโครงสร้างมีฟองอากาศไม่เพียงพอเลยส่งผลให้เค้กออกมาแล้วยุบตัว
– การตีแป้งนานเกินไป ก็มีส่วนที่จะทำให้เนื้อเค้กยุบตัว
– อุณหภูมิที่ใช้ในการอบอาจจะใช้อุณหภูมิที่ต่ำเกินไป จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เค้กยุบตัว

– ควรตีไข่ขาวให้ ตั้งยอด ให้ฟองอากาศมีขนาดเล็กลงและละเอียด ให้ตีจนไข่ขาวที่เป็นของเหลว ขึ้นฟูหรือตั้งยอดนั่นเอง
– ควรตีผสมแป้งให้พอเข้ากัน ไม่ควรตีนานหรือคนนานเกินไป
– ในการอบโดยปกติการอบเค้กจะควรใช้อุณหภูมิตั้งแต่ 160 – 180 องศาเซลเซียส

– อาจจะเกิดจากการใส่แป้งและไข่ไก่เยอะเกินไป
– เกิดจากการใส่ผงฟูและน้ำตาลไม่เพียงพอ

ระหว่างการทำ

– คนส่วนผสมแป้งเค้กนาน หรือตีไข่ขาวตั้งยอดแข็งจนเกินไป

– ใช้เวลาในการอบเค้กนานเกิน จึงทำให้เนื้อเค้กแห้งและแข็งกระด้าง

– ให้ตรวจเช็คสูตรก่อนว่ามีปริมาณของแป้ง และไข่ไก่ในปริมาณที่มากเกินไปหรือเปล่า

ระหว่างการทำ

– ควรคนส่วนผสมแป้งให้พอเข้ากันดี และตีไข่ขาวในระดับปานกลางจนตั้งยอด แต่ไม่ตั้งแข็งเกินไป

– ควรตรวจเช็คระยะเวลาในการอบของเค้กแต่ละประเภทที่ทำ

– สาเหตุการหน้าแตกอาจจะเกิดจากการใช้ไฟในการอบแรง และใช้เวลาในการอบเค้กนานเกินไป จึงทำให้เค้กที่ออกมาหน้าแตก

– โดยปกติการอบเค้กจะควรใช้อุณหภูมิตั้งแต่ 160 – 180 องศาเซลเซียส และระยะเวลาในการอบของเค้กขึ้นอยู่กับประเภทของเค้กที่ทำ

– เมื่ออบเค้กเสร็จ ตัวเค้กจะปล่อยความชื้นออกมาหากทิ้งไว้ในพิมพ์เค้กนาน แล้วตอนนำเค้กออกจากพิมพ์ เนื้อเค้กด้านข้างที่ได้จะมีความแฉะ เมื่อคว่ำลงบนตะแกรงแล้วเค้กติดกับกระดาษรองอบ

– เมื่ออบเสร็จให้รีบนำเค้กออกจากพิมพ์ แล้วพักเค้กบนตะแกรง จากนั้นใช้พิมพ์เค้กครอบตัวเค้กลงไป

– สาเหตุที่เนื้อเค้กเหนียวอาจจะเกิดจากการคนส่วนผสมนานจนเกินไป ทำให้เกิดฟองอากาศน้อยและขยายตัวได้น้อยลง จึงได้เนื้อเค้กที่มีความเหนียว

– ควรคนส่วนผสมด้วยความเร็วต่อเนื่อง สม่ำเสมอกัน จนไม่เหลือเศษเม็ดแป้ง แต่ต้องไม่คนส่วนผสมนาน

– เกิดจากการตีไข่ขาวแล้วตั้งยอดแข็งเกินไป เมื่อนำมาผสมกับส่วนผสมอื่นจึงทำให้ได้เนื้อเค้กที่ไม่เนียน และมีฟองอากาศขนาดเล็ก ใหญ่ไม่เท่ากัน เมื่ออบเสร็จเค้กจึงเกิดรูนั่นเอง

– ควรคนผสมส่วนผสมให้เร็วอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องเบามือ และเพิ่มระยะเวลาในการตีตัดฟองอากาศ จนเนื้อเดียวกันแล้ว

– เกิดจากส่วนผสมของเหลว เช่น นม ไข่ มีปริมาณมากเกินไป

– พิมพ์ที่ใช้มีขนาดหนา

ระหว่างการทำ

– ไฟที่ใช้ในการอบมีอุณภูมิที่สูงเกินจึงทำให้เค้กด้านนอกสุกได้ไวกว่าด้านใน

– ให้ตรวจเช็คสูตรก่อนว่ามีปริมาณของเหลวมากเกินไปหรือเปล่า
– ควรเลือกใช้พิมพ์ที่มีความหนาที่พอดีไม่หนาจนเกินไป

ระหว่างการทำ

– ไฟที่ใช้อบควรมีความร้อนสม่ำเสมอกัน ควรมีเทอโมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ

– เค้กที่อบออกมาสุกไม่ทั่วทั้งก้อน จะเปิดเช็คบ่อยๆ ก็อาจทำให้ขนมหน้ายุบไม่ฟู ไม่รู้วิธีการเช็คความสุกของเนื้อเค้กแบบไหนกันดี ง

– วิธีแรกคือ ใช้นิ้วแตะบริเวณกึ่งกลางหน้าเค้ก ถ้าผิวหน้าเกิดการสปริงตัวขึ้นมาแสดงว่าเค้กสุกแล้ว
– วิธีที่สองคือ ใช้ไม้แหลมขนาดเล็กๆ จิ้มลงในเนื้อเค้ก เมื่อดึงไม้ขึ้นจะต้องไม่มีเศษเค้กแฉะติดขึ้นมา